กาแฟ ดื่ม หรือ ไม่ดื่ม?
ผู้อาวุโสส่วนใหญ่มักรักรสชาติของกาแฟ ผลจากการสำรวจของ Statistica พบว่าคนที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปจะดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละแก้ว และเมื่อเอ่ยถึงกาแฟหลายคนมักจะพุ่งเป้าไปที่ข้อเสีย ทั้งที่ความจริงแล้วกาแฟก็มีข้อดีบ้างอยู่เหมือนกัน ดังนั้นการดื่มกาแฟอย่างมีสติและในปริมาณที่พอเหมาะน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้อาวุโสอย่างเรา
คอกาแฟทั้งหลาย เมื่อได้ลิ้มรสกาแฟถ้วยแรกในตอนเช้าจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมที่จะเริ่มต้นวันหรือการทำงานอย่างกระฉับกระเฉง ดังนั้นการดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมจึงมีประโยชน์ไม่น้อย นอกจากนี้กาแฟที่พอเหมาะยังสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคบางชนิดได้ด้วย เช่น โรคพาร์คินสัน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคตับ และโรคซึมเศร้า
สถาบันกาแฟและสุขภาพระบุว่า การดื่มกาแฟดำ—ที่ไม่ใส่น้ำตาลและครีม วันละ 3-4 ถ้วยสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 ได้มากถึง 25% ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟธรรมดาหรือแบบไร้คาเฟอีน นอกจากนี้รายงานระบุด้วยว่า การดื่มกาแฟยังช่วยลดหรือชะลอการพัฒนาของโรคพาร์คินสัน ได้อีกด้วย
ไม่เท่านั้น จากผลการศึกษาปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและภาวะสมองเสื่อมยังพบว่า ผู้ที่เริ่มดื่มกาแฟวันละ 3-5 ถ้วยในช่วงวัยกลางคนจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ได้ประมาณ 65% ในช่วงชีวิต แต่ทั้งนี้ผลที่ได้จากการคั่วกาแฟ ไม่ใช่จากคาเฟอีนในกาแฟโดยตรง ในขณะนี้จึงมีการศึกษาต่อเนื่องว่า คาเฟอีนมีผลต่อการป้องกันภาวะสมองเสื่อมหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
นอกจากนี้การลดภาวะหัวใจล้มเหลวก็เป็นอีกหนึ่งข้อดีของการดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม คนทั่วไปรวมทั้งผู้สูงอายุที่บริโภคกาแฟวันละ 1 ถึง 4 ถ้วยมีโอกาสที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 19%
ทีนี้ลองมาฟังเรื่องไม่ดีกันบ้าง แม้ว่าคาเฟอีนจะไม่เลวร้ายสำหรับผู้อาวุโสที่ดื่มกาแฟวันละไม่ถึง 4 ถ้วย แต่คนที่ดื่มมากกว่าวันละ 4 ถ้วย อาจมีอาการวิตกกังวล ปวดหัวกระสับกระส่าย และใจสั่นได้ นอกจากนี้การดื่มคาเฟอีนมากเกินไปจะกระตุ้นระบบประสาททำให้กระวนกระวายใจ ปวดท้อง และมีปัญหาการนอนหลับ
จากการศึกษาเกี่ยวกับการเผาผลาญคาเฟอีนพบว่าผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปใช้เวลาในการเผาผลาญคาเฟอีนนานกว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่าถึง 33% ดังนั้นคาเฟอีนจะอยู่ในระบบประสาทนานขึ้น ดังนั้นหากผู้อาวุโสท่านใดดื่มกาแฟสักแก้วตอน 16.00 น. ก็อาจจะตาสว่างไปจนถึง 22.00 น. เพราะมีโอกาสที่ร่างกายจะยังคงทำการเผาผลาญคาเฟอีนอยู่นั่นเอง
นอกจากนี้การรับคาเฟอีนมากเกินไปยังมีผลให้เกิดภาวะการขาดน้ำและทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ภาวะขาดน้ำเป็นหนึ่งในสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และการดื่มกาแฟแทนน้ำเปล่าตลอดทั้งวันเมื่อกระหายน้ำสามารถทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
กาแฟยังระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารของผู้สูงอายุที่เป็นแผลและโรคกระเพาะ เนื่องจากคาเฟอีนมีส่วนช่วยในการผลิตกรดในกระเพาะอาหารและกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร อีกทั้งยังอาจรบกวนฤทธิ์ของยาบางชนิด เช่น ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาไทรอยด์ และยาลดความอ้วน ด้วยการไปลดการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และ ในบางกรณีคาเฟอีนจะเป็นตัวกระตุ้นฤทธิ์ของยาบางชนิด ซึ่งมีผลเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และทำให้กระวนกระวายใจ
นอกจากกาแฟแล้ว เพื่อนอาวุโสอาจจะต้องระวังเรื่องคาเฟอีนในอาหารอื่นๆ เช่น ช็อคโกแลต ชา ไอศครีม โยเกิร์ต โกโก้ร้อน รวมไปถึงเครื่องดื่มชูกำลัง ด้วยเช่นกัน
เพื่อนผู้อาวุโสคงต้องชั่งใจกันเองแล้วว่า จะเลือกที่จะดื่มหรือไม่เดิมกาแฟ ถ้าเลือกที่จะเลิกหรือเลือกที่จะไม่ดื่ม ก็อาจจะหันไปหาเครื่องดื่มสุขภาพอื่นๆ ทดแทน แต่ถ้าเลือกที่จะไม่เลิกหรือเลิกไม่ได้ Mayo Clinic แนะนำว่าปริมาณคาเฟอีนที่พอเหมาะในแต่ละวันจะอยู่ที่ 400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับกาแฟ 4 ถ้วย เพราะจะว่าการดื่มกาแฟแต่พอควรก็ช่วยสร้างสุนทรียรสให้กับชีวิตในการเริ่มต้นวันใหม่ที่ไม่เลวทีเดียว
ที่มา: www.visitingangle.com
ภาพ: www.freepik.com
------------------------------
อ่านเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ได้ที่เฟซบุ๊ก “เพื่อนอาวุโส” https://www.facebook.com/seniorsfriendship