สังคมสูงวัย ความจริงประเทศไทย

สังคมสูงวัย ความจริงประเทศไทย (เพื่อนอาวุโส)

สังคมสูงวัย ความจริงประเทศไทย

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรกำลังเป็นปรากฏการณ์ที่อยู่ในกระแสความสนใจของนักประชากรศาสตร์ รวมไปถึงผู้บริหารนโยบายผู้นำระดับชาติและระดับโลก ตลอดจนนักธุรกิจและนักลงทุนต่างกำลังให้ความสนใจและจับตามอง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโครงสร้างประชากรดังกล่าว 

ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุ (Ageing Society ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา โดย 1 ใน 10 ของประชากรไทยเป็นประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และ คาดว่าประเทศไทยจะเป็น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” (Complete Aged Society) ในปี พ.ศ. 2564 คือประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 5 และเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super Aged Society) ภายในอีก 20 ปีต่อจากนี้ไปคือ ใน พ.ศ. 2578 โดยประมาณการว่าจะมี ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนประชากรทั้งหมด 

ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้ให้คำนิยามของสังคมผู้สูงวัย 3 ระดับ คือ 

1. สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 7 

2.สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในขั้นตอนนี้อยู่แล้ว คือ สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 14 และ 

3. สังคมสูงวัยขั้นสูงสุด คือสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 28 หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า ร้อยละ 20

โลกทั้งใบ...สูงวัยแล้ว

ไม่ใช่แต่เพียงประเทศไทยเท่านั้น เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา โลกของเรามีประชากรประมาณ 5,735 ล้านคน และมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 540 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 9 ของประชากรโลก ในปี พ.ศ. 2558 ประชากรโลกมีจำนวน 7,349 ล้านคน ในจำนวนนี้มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 901 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 12 จึงกล่าวได้ว่า “ประชากรโลกได้กลายเป็นสังคมสูงวัย” แล้ว

สังคมสูงวัย...ความท้าทายที่น่าห่วงใย

ธนาคารโลก (World Bank) ได้เสนอรายงานในปีพ.ศ.2558 ไว้ว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกกำลังเผชิญกับการเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้สูงอายุ และมากกว่าทุกภูมิภาคของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 36% ของโลก หรือมีจำนวนผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) ในเอเชียตะวันออก ประมาณ 211 ล้านคน

ปัญหาสำคัญที่จะติดตามมาอย่างเห็นได้ชัดก็คือ การขาดแคลนแรงงานในอนาคต  ทั้งในภาคการผลิตและการบริการ ไม่เพียงเท่านั้น การลดลงอย่างรวดเร็วของอัตราการเกิดของประชากรวัยเด็ก รวมกับแนวโน้มของการแต่งงานที่ช้าลงของประชากรวัยเจริญพันธุ์ ที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อัตราเพิ่มประชากรวัยเด็กไม่สามารถตีตื้นให้ทันกับอัตราความเร็วของการเพิ่มประชากรวัยสูงอายุ ยิ่งจะส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานรุนแรงยิ่งขึ้น

ความท้าทายที่ยังรอการแก้ไข

อัตราความเร็วการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุในประเทศไทย จึงเป็นที่จับตามองของธนาคารโลก เนื่องจากประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่อยู่ในระดับรายได้ปานกลาง อีกทั้งการออมเงิน และการออมในรูปแบบต่างๆ ของคนไทยในภาพรวมยังต่ำมาก ( อีกทั้งหลักประกันด้านรายได้รายเดือนของผู้สูงอายุในรูปของ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ที่จ่ายให้ผู้สูงอายุตามเกณฑ์อายุจำนวน 600 – 1,000 บาทต่อเดือนนั้น ก็ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายเพื่อการยังชีพ) ดังนั้นหากรัฐบาลยังไม่ออกมาตรการควบคุม รวมถึงมาตรการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยก็จะทำให้ปัญหาคาราคาซังต่อไป 

มีการคาดการณ์ว่า ปี 2575 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศจะสูง 2.2 ล้านล้านบาท และในด้านการจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะมากยิ่งขึ้น โดยในปี 2561 ปรากฎตัวเลขใช้งบประมาณจัดสรรเบี้ยยังชีพ ถึง 66,359 ล้านบาท

การขับเคลื่อนอย่างบูรณาการคือทางออก

การเข้าสูงสังคมผู้สูงวัยยังมีผลกระทบต่อการบริโภค การมีอำนาจในการซื้อลดลง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม หากยังไม่มีแผนรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนยุทธศาสตร์ต้องกำหนดให้อย่างชัดเจน ซึ่งคิดว่ามีอยู่แล้ว แต่ยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาขับเคลื่อนบูรณาการอย่างจริงจัง ฉะนั้นโจทย์สำคัญจะต้องมีการเตรียมพร้อม เพื่อสามารถสร้างสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพได้ สร้างหลักประกันรายได้ ส่งเสริมและขยายโอกาสทำงาน สร้างระบบดูแลผู้สูงอายุระยะยาว มีความปลอดภัยในที่สาธารณะ เสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ดำเนินการด้านผู้สูงอายุให้ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างมั่นคง 

ที่มา: www.isaranews.org / กรมกิจการผู้สูงอายุ 

ภาพ: www.freepik.com 

-----------------------------------------

อ่านเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ได้ที่เฟซบุ๊ค "เพื่อนอาวุโส" https://www.facebook.com/seniorsfriendship