คนไทยควรทำอย่างไรในภาวะวิกฤติ
เพื่อนผู้อาวุโสขอนำข้อคิดดีๆ ของ นพ. ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข มาฝากเพื่อนอาวุโสที่กำลังกังวลเกี่ยวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งข้อเขียนของคุณหมอน่าจะสร้างความอุ่นใจให้กับเพื่อนๆ ได้บ้าง โดยเฉพาะในมุมมองที่ว่า ในเมื่อเราควบคุมพฤติกรรมของคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องหันมาใส่ใจควบคุมตัวเอง
ในวิกฤติการณ์ของประเทศชาติเช่นนี้ คนไทยควรทำอย่างไร?
สภาพความเป็นจริง:
- เราควบคุมแรงงานเถื่อนไม่ได้
- เราควบคุมบ่อนการพนันไม่ได้
- เราควบคุมพฤติกรรมนักพนันไม่ได้
- เราควบคุมผู้ละเมิดมาตรการรัฐไม่ได้
- เราควบคุมจิตสำนึกของผู้อื่นไม่ได้
- เราควบคุม TIME LINE ผู้อื่นไม่ได้
การแก้ปัญหา:
- ในเมื่อเราควบคุมพฤติกรรมคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องหันมาใส่ใจควบคุมตนเอง
1. อย่าตกใจกับจำนวนผู้ติดเชื้อ
เราต้องยอมรับและทำใจว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยเราอาจต้องพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากมายกว่าที่คาดคิด... เพราะในแง่ความเป็นจริง สังคมไทยไม่ใช่ปลอดเชื้อโควิดมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ตรวจหาหรือสุ่มตรวจหาโควิด-19 เชิงรุกอย่างจริงจัง และโดยสถิติทุกประเทศที่ทำการตรวจเชิงรุก “ยิ่งตรวจจะยิ่งพบผู้ติดเชื้อ”...
จำนวนการพบผู้ติดเชื้อมากเท่าไรไม่สำคัญ สำคัญที่เราต้องป้องกันตนเอง และ ป้องกันตนเองโดยไม่ไว้ใจผู้อื่น (Universal Precaution) ให้คิดอยู่เสมอว่าผู้ที่อยู่ใกล้เราคือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ถ้าเรามีวินัย ป้องกันตนเองตลอดเวลาโอกาสที่เชื้อโรคจะทำร้ายเราได้ ก็เป็นไปได้ยาก
ต่อให้น้ำท่วมโลก ก็ไม่สามารถทำให้เรือของเราล่มได้ ถ้าเราไม่ปล่อยน้ำให้ไหลเข้ามาในเรือเรา.. โควิด-19 ก็เช่นกัน มันไม่สามารถทำร้ายเราได้เลย ถ้าเราไม่เผลอตัวไปให้โอกาสมัน..
2. ต้องช่วยกันชลอการติดเชื้อ
ถ้าเราชลอไม่ได้ คือ “ความหายนะของชาติ” เราต้องยอมรับว่า ขณะนี้เราไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อภายในประเทศได้ และไม่สามารถทำให้สงบโดยในระยะเวลาอันสั้น (ตราบใดที่เราไม่สามารถจัดการแรงงานเถื่อน ไม่สามารถจัดการบ่อนการพนัน)
แต่เราสามารถ”ชลอการติดเชื้อ”ได้โดยให้คนไทยช่วยกันด้วยเทคนิคง่ายๆ ...คือ “การลดการเคลื่อนย้ายประชาการ ลดการไปมาหาสู่กัน”สักระยะหนึ่ง..จะเรียกชื่อว่า”ล๊อคดาวน์”หรือไม่ ไม่สำคัญ ไม่ต้องมาเถียงกันให้เสียเวลา
เพราะหลักการป้องกันโรคติดต่อ มีอยู่นิดเดียว คือ โรคติดต่อ ถ้าเราไม่มีการติดต่อ โรคก็จะไม่ติดต่อ การชลอการติดเชื้อ เป็นเสมือนการชลอน้ำที่ไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำด้วยความเร็วที่ช้าลง ป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรุนแรงพร้อมกันทั้งแผ่นดิน
ประโยน์ของ”การชลอการติดเชื้อ” คือ ทำให้โรงพยาบาลมีเตียง มีอุปกรณ์การแพทย์ และ กำลังบุคลากรทางการแพทย์รองรับพอเพียง และ ได้สัดส่วนกับผู้ป่วย รวมทั้งอัตราการหายป่วยมีมากกว่าการเจ็บป่วย
อยู่บ้านให้มากขึ้น ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด ถ้าคนไทยเราช่วยกันทำตรงนี้กันอย่างจริงจัง นั่นคือความหวังสู้โควิดได้ (อย่าให้ใครเขาบังคับ เหมือนคนไร้จิตสำนึก)
3. เราต้อง SAVE ตนเองให้นานที่สุดเพื่อรอรับวัคซีน ซึ่งความหวังอยู่แค่เอื้อม
Dose แรกจะเริ่มปลายกุมภาพันธ์นี้แล้ว อย่าให้พลาดท่าป่วยด้วยโควิด-19 เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าป่วยแล้วไม่ตาย แต่อวัยวะต่างๆ อาจโดนทำลาย..ไม่ว่าสมอง เส้นเลือด หัวใจ ไต อาจถูกทำลาย ไม่กลับสู่สภาพเดิมได้ (และ อย่าหวังมีภูมิต้านทานจากการติดเชื้อ เพราะอันตรายมาก)
4. ในภาวะวิกฤติ คนไทยจะต้องรู้จักอดทนอดกลั้น มีวินัย อย่าโอดครวญ โวยวาย ขัดขวางมาตรการรัฐ ควรรู้จักเก็บอาการกันไว้บ้าง
ที่สำคัญคือ ควรมีจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ และ รับผิดชอบต่อสังคมกันมากกว่านี้ ประเทศญี่ปุ่นช่วงที่เผชิญสึนามิ-แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ล่าสุด คนญี่ปุ่นร่วมกันเผชิญวิกฤติการณ์ด้วยสติ..มีความอดทนอดกลั้น-มีความสามัคคี-มีวินัย-มีน้ำใจ-ห่วงใยต่อกัน จงอดทนอดกลั้น มีน้ำใจ ห่วงใยต่อกัน
บทสรุป
การสู้กับโควิด-19 ไม่ใช่การสู้กับเชื้อโรคร้ายอย่างตรงไปตรงมา โควิดเป็นเพียงครึ่งร่าง ที่มาอาศัยมนุษย์เราเพื่อการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์เท่านั้น แต่มันทำให้มนุษย์เราต้องต่อสู้กับจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ด้วยกัน การสู้กับโควิด-19 จะเป็นการพิสูจน์ต้นทุนทางจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ในแต่ละสังคมว่า จะมีมากน้อยเพียงใด
สำหรับประเทศไทย ถ้าผลออกมาไม่ดีอย่างไร เราก็ต้องทำใจยอมรับมัน เพราะต้นทุนเรามีกันเพียงเท่านี้ อย่าได้คิดค้ากำไรเกินควรเลย
ที่มา: นพ. ชำนาญ ภู่เอี่ยม
ภาพ: www.freepik.com
------------------------------
อ่านเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก "เพื่อนอาวุโส" https://www.facebook.com/seniorsfriendship
